ข้อมูลหน่วยงาน
องค์การบริหาร ส่วนตำบลสนามชัย เดิมมีฐานะเป็นสภาตำบล มีชื่อว่า สภาตำบลสนามชัย ต่อมาได้รับการเปลี่ยนแปลงฐานะจากสภาตำบลเป็นองค์การบริหารส่วนตำบล ตามประกาศกระทรวมหาดไทย เรื่อง การจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2539
องค์การบริหารส่วนตำบลสนามชัย เดิมมีฐานะเป็นสภาตำบลสนามชัย ต่อมาได้รับการเปลี่ยนแปลงฐานะเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2539 ดังปรากฏอยู่ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 113 ตอนที่ 9ง หน้าที่ 5 ลงวันที่ 30 มกราคม 2539 ดังปรากฏชื่อขององค์การบริหารส่วนตำบลสนามชัย ในหน้าที่ 180 นั้น ซึ่งจากวันนั้นจวบถึงปัจจุบัน นับเป็นระยะเวลา 13 ปีที่หน่วยงานยังไม่มีคำขวัญเป็นของตนเอง ดังนั้นงานประชาสัมพันธ์สำนักปลัด จึงเห็นควรที่จะจัดกิจรรมประกวดคำขวัญ ในโครงการกลยุทธประชาสัมพันธ์ขึ้น โดยกลุ่มเป้าหมายคือเด็ก และอัตลักษณ์เป็นของตำบลสนามชัยสืบต่อไป
กิจกรรมดังกล่าวมีผู้ให้ความสนใจส่งคำขวัญเข้าร่วมประกวดเป็นจำนวน 83 คำขวัญ ซึ่งบางรายจัดส่งประกวดมากกว่าหนึ่งคำขวัญ เพราะในการประกาศเปิดกว้างไม่จำกัดจำนวน ผู้เข้าร่วมโครงการเป็นเด็กและเยาวชน 19 คน ประชาชนทั่วไป 13 คน รวมทั้งสิ้น 32 คน (เป็นคนในตำบลและต่างตำบลในจังหวัดสุพรรณบุรีรวม 27 ราย อ่างทอง 2 ราย กรุงเทพ 2 ราย พิษณุโลก 1 ราย)
วิธีการเข้าร่วมกิจกรรม
- ส่งทางไปรณียบัตร รวม 3 ราย
- ส่งผ่านช่องทาง Web site 1 ราย
- ส่งผ่านจดหมาย 3 ราย
- ส่งด้วยตนเอง 25 ราย (ผ่านทางโรงเรียนในเขตตำบลสนามชัย)
- ในส่วนของกระบวนการตัดสินมีรายละเอียดดังรายการประชุมที่แนบท้าย (เอกสาร 1) และได้ผู้ชนะจำนวน 3 ราย ดังต่อไปนี้คือ
- รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ด.ญ.ณิชากร ธนเดโชพล (นักศึกษาโรงเรียนสงวนหญิง) คำขวัญคือ “แหล่งโบราณสถาน สุสานทหารนิรนาม สง่างานศูนย์ราชการ บริหารจัดการที่ดี ศรีตำบลสนามชัย”
- รางวัลชมเชย ได้แก่ ด.ช.อภิรักษ์ อ่วมคำ (นักเรียนโรงเรียนบ้านดอนโพ) คำขวัญคือ “พระสัมฤทธิ์ 1,000 ปี เจดีย์วัดสนามชัย ยิ่งใหญ่ศูนย์ราชการ การบริหารก้าวหน้า ชาวประชาสุขใจ”
และนายพงศกร จันท์พิพัฒน์พงศ์ (นักเรียนมหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก) คำขวัญคือ “ชุมชนเข็มแข็ง ร่วมแรงร่วมใจ พัฒนาสนามชัย ก้าวไกลอย่างยั่งยืน”
จวบจนปัจจุบัน คำขวัญข้างต้น ถูกนำมาใช้ในการประชาสัมพันธ์ต่างๆ ขององค์กร จนเป็นอัตลักษณ์และภาพลักษณ์ขององค์กร หากนานไป และไม่มีการระบุแหล่งที่มา เกรงว่าจะถูกหลงลืมไปและอาจกลายเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ เพราะคนเก่าๆ ที่ทราบประวัติความเป็นมา เกษียณอายุราชการไปและไม่มีการบันทึกเก็บเป็นหลักฐานไว้เพื่อเตือนความทรงจำให้กับเยาวชน/ประชาชนคนรุ่นหลัง